ก้าวไกล ประกาศธำรงสถาบันฯ เชื่อประเทศไม่เดินหน้าหากไม่ยกเลิก ม.112

ก้าวไกล ประกาศธำรงสถาบันฯ เชื่อประเทศไม่เดินหน้าหากไม่ยกเลิก ม.112

ก้าวไกล แถลงจุดยืน ประกาศธำรงสถาบันฯ แต่เชื่อว่าประเทศก้าวหน้าไม่ได้หากไม่ยกเลิก ม.112 เนื่องจากเป็นกฎหมายล้าหลัง นาย รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความซึ่งเป็นข้อควาที่ถูกกล่าวโดยนาย ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการ พรรคก้าวไกล ถึงประเด็นมาตรา ม.112 ที่เป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ ลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า “พรรคก้าวไกลขอย้ำว่า การจะธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ให้คงอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตย ไม่สามารถจะบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับ หรือใช้กฎหมายปราบปรามการแสดงออกของประชาชน แต่สถาบันการเมืองใดๆ ในสังคมสมัยใหม่ย่อมดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความชอบธรรมและความยินยอมพร้อมใจจากประชาชน

บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ว่า ‘องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ 

ผู้ใดจะละเมิดมิได้’ นั้น มิได้ดำรงอยู่อย่างอิสระโดยตัวเอง แต่ต้องยึดโยงกับหลักสำคัญที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดไม่ได้ (The king can do no wrong) ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมือง ไม่ทรงกระทำการใดในทางการเมืองและในการปกครองด้วยพระองค์เอง ซึ่งจะป้องกันให้องค์พระมหากษัตริย์ปลอดพ้นจากการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน

ดังนั้น หนทางที่พวกเราควรทำก่อนจะสายเกินการณ์ ก็คือการแสวงหากุศโลบายที่สอดคล้องกับยุคสมัยเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนภายใต้ระบบนิติรัฐ

ในทางตรงกันข้าม การตีความมาตรา 6 ตามรัฐธรรมนูญที่เกินเลยกว่าตัวบทและเจตนารมณ์ รวมถึงการมีกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีปัญหาทั้งในแง่เนื้อหาและในแง่ของการบังคับใช้ โดยขัดต่อระบบนิติรัฐและสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน อย่างในปัจจุบันนี้ต่างหาก ที่จะกระทบต่อฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะขององค์พระมหากษัตริย์

ขณะที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ถึงเวลาแล้วที่ผู้มีอำนาจต้องคืนสิทธิในการประกันตัวให้แก่ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 และใช้กลไกทางการเมืองในการยุติคดีการเมืองต่างๆ ไม่ควรมีใครต้องอยู่ในคุกเพราะการแสดงออกทางการเมือง ในที่สุดหากต้องนิรโทษกรรมคดีการเมืองเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งในสังคมก็จำเป็นต้องทำ

ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องตระหนักและเปิดพื้นที่ปลอดภัยในการทบทวนและแก้ไขมาตรา 112 เพื่อหาข้อยุติที่แต่ละฝ่ายพอจะรับกันได้ ซึ่งพรรคก้าวไกลหวังว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆในสภา ก่อนที่จะสายเกินการณ์

ไม่มีทางที่เราจะมีการเมืองที่มีเสถียรภาพมั่นคงได้ หากเรายังมีระบบกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เห็นคนเป็นคนเสมอหน้ากัน ไม่มีทางที่เราจะมีเศรษฐกิจสังคมที่เจริญก้าวหน้าและเป็นธรรมได้ หากเรายังอยู่ในรัฐโบราณที่ประชาชนไม่ใช่เจ้านาย ราษฎรไม่ใช่เจ้าของประเทศ”

ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัย สปีช ‘ประยุทธ์’ COP26 คล้าย ‘โอบามา’

ชาวเน็ต ตั้งข้อสงสัย สปีช ประยุทธ์ ในงานประชุม COP26 ที่มีกล่าวถึงโลกที่สองและแผนสองว่าคล้ายกับของ โอบามา กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงสุนทรพจน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ที่ได้กล่าวในงานประชุมระดับผู้นำการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) ที่นครกลาสโกร์ว ประเทศสกอตแลนด์

โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เราทุกคนไม่มีแผน 2 ในเรื่องการรักษาเยียวยาสภาพภูมิอากาศ เพราะเราจะไม่มีโลกที่ 2 ซึ่งเป็นบ้านของพวกเราเหมือนโลกนี้อีกแล้ว”

อย่างไรก็ตามชาวเน็ตได้ตั้งข้อสงสัยเป็นอย่างมากถึงสุนทรพจน์ดังกล่าว เพราะมีความคล้ายคลึงกับสุนทรพจน์ของนาย บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯที่กล่าวไว้ในปี 2558 ว่า พวกเรามีโลกใบเดียว และไม่มีแผนสอง

ทั้งนี้จากการสำรวจของสำนักข่าว เดอะ ไทยเกอร์ นั้นพบว่าประโยคนี้ถูกกล่าวโดย นายบัน คี มูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ในปี 2557 หน้าสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก และจากการค้นเพิ่มเติมพบว่าแนวคิด “โลกที่สอง” หรือ Planet B ถูกพูดถึงมาแล้วนับไม่ถ้วน ซึ่ง ริชาร์ด แบนสัน นักบินอวกาศเคยได้กล่าวถึงแนวคิดโลกที่สองตั้งแต่ปี 2012

ส่อง จุดยืนพรรค การเมืองต่างๆต่อ ม.112 และ ม.116 หลังจากที่กลุ่มราษฎรออกมาชุมนุมยกเลิกมาตราดังกล่าวภายใน ม็อบ31ตุลา64 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน คงไม่มีประเด็นไหนในการเมืองไทยที่ร้อนเท่ากับท่าทีของแต่ละพรรคการเมืองต่อ ม.112 และ ม.116 ซึ่งเป็นมาตรการที่มีการพูดถึงสถาบันและการปลุกระดม โดยทางสำนักข่าว TheThaiger จึงอยากรวบรวมจุดยืนของพรรคการเมืองและนักการเมืองต่อมาตราดังกล่าว

จุดยืนต่อ ม.112 ของพรรคก้าวไกลค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ เคยได้ยื่นเสนอชุดร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งรวมถึงการแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยปรับลดโทษเหลือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 300,000 บาท รวมถึงนำออกจากลักษณะความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และกำหนดให้เป็นความผิดอันยอมความได้

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป